กายทิพย์หรือรัศมีออร่า คือพลังแม่เหล็กไฟฟ้าที่ไม่มีตัวตน

กายทิพย์ หรือ รัศมีออร่า คือพลังแม่เหล็กไฟฟ้าที่ไม่มีตัวตน
พลังชีวิตมา จากสนามแม่เหล็กของดวงอาทิตย์ที่ส่องมายังพื้นโลก และถูกเหนี่ยวนำมาสู่ตัวเราด้วยเหล็กที่มีอยู่มากในกระแสเลือด ฮีโมโกลบินในกระแสเลือดมีเหล็กเป็นองค์ประกอบ คือตัวตอบสนองต่อสนามแม่เหล็กโลก ร่างกายของคนเรานั้นแท้ที่จริงก็คือองค์รวมของมวลสาร และพลังงานลากมิติ จำแนกออก ตามความหยาบ ละเอียดของมวลสาร และ พลังงานออกเป็นชั้นๆ คือ
  • กายเนื้อ (Physical Body),กายละเอียดหรือกายไอ (Etheric Body) กายนี้เราพอจะสัมผัสกันได้ อย่างเช่นเวลาเราอยู่ในรถเมล์ที่แน่นๆ เราจะรู้สึกอึดอัดด้วยไอตัวของผู้คน หรือเวลาเข้าใกล้ใครที่ป่วยเป็นโรค เราอาจได้ไอโรคจากตัวเขา
  • กายทิพย์ (Astral Body) ส่วนนี้ต้องสัมผัสด้วยความรู้สึก ซึ่งเราอาจรับรู้กันได้ เวลาเราพบหน้าใครก็รู้สึกว่าคนนี้มีความเป็นมิตร รู้สึกอบอุ่น
    จิต (Mental) นี่เป็นส่วนของนามธรรม ถือเป็นส่วนที่ละเอียดที่สุดของกาย 4 ชั้น

เซลล์ของเราที่มีชีวิต มีการแลกเปลี่ยนประจุตลอดเวลา ทำให้ทุกเซลล์มีศักดาไฟฟ้าพร้อมๆกับ ที่มีสนามพลังอยู่โดยรอบของแต่ละเซลล์ สนามพลังนี้มีขั้วพลังเป็นตำแหน่งต่างๆ ในร่างกายถึง 600 กว่าจุด จุดฝังเข็มก็คือขั้วพลังเหล่านี้ ขั้วพลังที่มีศักดาสูงรวมกันอยู่เป็นจุดจักระ สนามพลังนี้ยังเชื่อมต่อกับจิตของเราอย่างแยกไม่ออก ส่งผลซึ่งกันและกัน เหนือสิ่งอื่นใดกายจิตของคนเรานี้ ยังได้รับอิทธิพลจากสนามพลังของโลก และจักรวาลด้วย ตั้งแต่สนามแม่เหล็กของดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และจักรราศีต่างๆ สนามแม่เหล็กโลก ซึ่งยังเปลี่ยนแปรกับปรากฏการณ์ธรรมชาติเช่น แผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด กระแสน้ำในมหาสมุทร คลื่นใต้น้ำและเหนือน้ำ อุณหภูมิของโลก พายุฝนฟ้า เป็นต้น ท้ายที่สุดคลื่นที่คนเราประดิษฐ์ขึ้น คอมพิวเตอร์ หม้อแปลงไฟ เตาอบ ไดเป่าผม โทรทัศน์ คอมพิวเตอร์ กระทั่งเสียงดนตรี เพลง เสียงสวดมนต์ รวมไปถึงคลื่นข่าว คลื่นความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ การเมือง ความสงบ เรียบร้อยของบ้านเมือง เหล่านี้คือองค์รวมของสิ่งต่างๆ ที่ส่งผลกลับไปกลับมาต่อชีวิตจิตใจของคนเรา

  • เป็นที่รู้กันว่า สิ่งมีชีวิตทั้งหลายรวมทั้งคนเราที่อาศัยอยู่บนโลกนี้ ต่างได้รับพลังงานชีวิตอยู่ตลอดเวลาจาก พลังชีวิตของโลก พลังนี้ก็คือ สนามแม่เหล็กโลกนั่นเอง มันเป็นสนามพลังอ่อนๆ ที่เราได้รับอยู่ตลอดเวลา และถ้าเมื่อไหร่เราไม่ได้รับพลังนี้ ก็อาจเป็นเหตุให้เรา ป่วยเจ็บได้ เรื่องนี้ได้จากการสังเกตว่า คนงานที่ทำงาน ก่อสร้างตึกใหญ่ๆ ซึ่งบางทีต้องใช้โครงสร้างเหล็ก หรือกระทั่งแผ่นเหล็กเป็น จำนวนมาก เป็น โครงสร้างของตึก เมื่อสร้างตึกไปหลายๆ เดือนก็พบว่า คนงานเหล่านี้เกิดอาการอ่อนเพลีย ปวดเมื่อยเนื้อตัว ปวดหัว ปวดข้อ โดยไม่ปรากฏสาเหตุ อาการเหล่านี้พบอีกในเวลา 30 ปีหลังนี้ในหมู่นักบินอวกาศ องค์การนาซ่า เริ่มสังเกตอาการนี้ได้ จากนักบินรุ่นแรกๆ ซึ่งต้องออกไปนอกโลกพ้นจากแรงดึงดูดของโลก ก็ปรากฏอาการเหล่านี้เหมือนกัน เขาเรียกชื่อกลุ่มอาการนี้ว่า “โรคอวกาศ (space sickness)”
  • ในโลกใบนี้ ยังมีสิ่งชีวิตบางจำพวกสามารถแสดงคุณสมบัติของการเรืองแสงชีวภาพได้ด้วยตนเอง เป็นแสงเรืองสว่าง ปราศจาก ความร้อน ได้แก่ พวกเห็ดราบางชนิด แมงบางพันธุ์ ปลาที่อาศัยอยู่ทะเลลึก เป็นต้น การมีแสงเรืองในตัวเอง ก็เพื่อประโยชน์ใน การติดต่อสื่อสาร การนำทาง หรือเพื่อป้องกันภัยอันตราย

“มนุษย์เรืองแสง” เป็นปรากฎการณ์อัศจรรย์อย่างหนึ่ง ไม่ใช่เรื่องอภินิหาร ปาฏิหาริย์ใด ๆ แต่เป็นเรื่องที่มีนักวิทยาศาสตร์และนายแพทย์หลายคนยอมรับว่ามีจริง ต่างบันทึกบอกเล่ากันเอาไว้ว่ามีอยู่หลายสิบราย และเป็นปรากฎการณ์ธรรมชาติที่หายาก

  • จากหนังสือสารานุกรมการแพทย์ชื่อ Anomalies and Curiosities of Medicine บันทึกเรื่องราวของคนที่มีแสงเรืองในตัวเอง ซึ่งเป็นบันทึกของแพทย์หลายสมัยที่ได้เคยพบเห็น และเขียนบันทึกทางการแพทย์เอาไว้ เช่น นายแพทย์จอร์ช กูลด์ และนายแพทย์ วอลเตอร์ ไพล์ (ปีพ.ศ. 2440) มีบันทึกไว้ว่า …..ได้พบคนไข้ที่เป็นโรคเนื้องอกในทรวงอกรายหนึ่งมีอาการหนักมากเมื่อมาขอการรักษา ขณะรับการรักษาอยู่ในโรงพยาบาล ประมาณวันที่สองก็สังเกตเห็นปรากฎการณ์ประหลาดเกิดขึ้น คือ ปรากฏมีแสงเรืองสว่างออกมาจากทรวงอกของคนไข้ แสงเรืองประหลาดเกิดขึ้นจากภายในบริเวณเนื้อเยื่อที่เป็นโรคเนื้องอกนั่นเอง ต่อมาปรากฎการณ์อัศจรรย์นี้ก็เพิ่มมากขึ้น แสงเรืองสว่างมาก โดยเฉพาะถ้าอยู่ในที่มืด ๆ จะสามารถส่องดูนาฬิกาได้ในระยะห่าง 2 ฟุตอย่างสบาย ๆ
  • บันทึกอีกฉบับหนึ่ง เป้นของ ดร. เฮอวาร์ด คาร์ริงตัน นักค้นคว้าทางฟิสิกส์ ผู้ซึ่งบังเอิญได้พบกับเหตุการณ์สะเทือนขวัญและ ปรากฎการณ์อัศจรรย์เข้ากับตนเองจึงบันทึกเอาไว้ว่า ….เกี่ยวกับเด็กชายคนหนึ่งที่เสียชีวิตเนื่องจากกลืนของแหลมคมลงไปในท้อง ก่อนขาดใจตายมีอาการดิ้นบิดตัวอย่างทุรนทุราย ต่อหน้าต่อตาญาติที่นำตัวมาส่งและต่อหน้าแพทย์พยาบาล ที่กำลังพยายาม ให้ความช่วยเหลือ เด็กคนนั้นเปล่งแสงเรืองสีน้ำเงิน ออกมารอบตัววูบวาบไปหมด เล่นเอาทุกคนในที่นั้นตกใจจนคิดอะไรไม่ถูก และต่อมาอีกไม่กี่นาทีเด็กคนนั้นก็ขาดใจตาย…….

บันทึกของคณะแพทย์จากอิตาลีในปี พ.ศ. 2477 ก็มีรายงานสั้น ๆ เกี่ยวกับเรื่องอัศจรรย์ที่ล่ำลือกันในสมัยนี้อยู่เรื่องหนึ่งคือเรื่องของ “หญิงเรืองแสงแห่งปิราโน” (Luminous Women of Pirano) บันทึกกล่าวว่า ….นางแอนนา โมนาโร เป็นผู้ป่วยด้วยโรคหืดเรื้อรัง ได้เข้ามารับการรักษาในโรงพยาบาลปิราโน และอยู่ ๆ ในคืนหนึ่งขณะที่นางนอนหลับอยู่บนเตียงคนไข้ในห้องรวม ของโรงพยาบาล แห่งนั้น บริเวณหน้าอกและลำคอของนางก็ปรากฎแสงเรืองออกมา เป็นแสงสีน้ำเงิน แต่พอปลุกให้คนไข้ตื่น แสงเรืองประหลาดก็หรี่ดับไป…แพทย์หลายนายพยายามตรวจหาความผิดปกติแต่ก็ไม่สามารถวินิจฉัยอะไรได้เลย ….. จากการเจาะเลือดไปตรวจพบว่า นางโมนาโรมีปริมาณของสารจำพวกกำมะถัน อยู่ในเลือดสูงผิดปกติ …..แสงเรืองประหลาดจะปรากฎขึ้นเสมอเฉพาะตอนที่นางนอนหลับเท่านั้น

  • มีแพทย์หลายสิบคนจากสาขาต่าง ๆ พากันแห่ไปศึกษา ตรวจดูปรากฎการณ์อัศจรรย์ของนางโมนาโร และต่างก็ลงความเห็นกันไปต่าง ๆ นานา เช่นกล่าวว่า แสงเรืองเกิดจากประจุไฟฟ้า และสนามแม่เหล็กในธรรมชาติทำปฏิกิริยากับเซลล์ชีวภาพ ซึ่งอาจจะเกี่ยวข้องกับ สารกำมะถันในเลือดด้วยก็ได้ …..บ้างก็ลงความเห็นว่า จำนวนสารกำมะถัในเลือดของนางอาจทำปฏิกิริยากับคลื่นอัลตราไวโอเลตในธรรมชาติ ทำให้เกิดการรบกวนกระตุ้นใน อะตอมกำมะถัน และสารชีวเคมีบางอย่างเกิดการเรืองแสงขึ้นมาได้เอง ….แต่คำอธิบายความคิดเห็นเหล่านั้น ไม่มีของใครจะให้ความกระจ่างชัดได้เลย เพราะมันไม่สามารถอธิบายได้ว่า ทำไมแสงเรือง จึงเกิดขึ้น เฉพาะบริเวณหน้าอกและลำคอ และที่สำคัญคือ ทำไมมันเกิดขึ้นเฉพาะตอนที่นางโมนาโร นอนหลับเท่านั้น?……..

ติดต่อบูชา LINE : @namotasa

ติดต่อบูชา LINE : @mayakarnlanna

You cannot copy content of this page