ยามเช้า พระอาทิตย์จะปรากฏขึ้นทางขอบฟ้าฝั่งทิศตะวันออกแล้วส่องแสงสว่างทุกวันเป็นวัฏจักร ที่ดูเหมือนว่าเป็นปรากฏการณ์ที่ไม่มีทางเปลี่ยนแปลงได้ แต่ก็มีปรากฏการณ์หนึ่งที่ทำให้ยามทิวากลับมืดมิดได้ดุจดั่งราตรีกาล นั่นก็คือปรากฏการณ์ “สุริยุปราคา” นี่เอง
นับแต่โบราณ..อาทิตย์ถูกขานนามเป็นเทพเจ้า เป็นราชาแห่งจักรวาล คือแสงสว่าง คือพลังชีวิต เกือบทุกอารยธรรมมีความเชื่อว่า..สุริยคราส คือสัญญาณของลางร้าย เปรียบเปรยกับ “สัตว์ร้าย” กำลังกัดกินดวงอาทิตย์ เพราะระหว่างเกิดสุริยุปราคานั้น ดวงอาทิตย์กลมๆจะค่อยๆเว้าแหว่งลงไปเรื่อยๆ ประหนึ่งว่ากำลังถูก “กัดกิน” และเมื่อดวงอาทิตย์หายไปมากขึ้น ความมืดก็ค่อยๆ คืบคลานเพิ่มเข้ามาแทนที่ จนในที่สุดดวงอาทิตย์ก็ถูกกินหายไปทั้งดวง พร้อมด้วยความมืดมิดไม่ผิดกับราตรี ชนโบราณจึงต้องทำอะไรสักอย่างให้สัตว์ร้ายตัวนั้นยอมคายดวงอาทิตย์ออกมา ทุกการกระทำ ทุกพิธีกรรม ก็เพื่อฆ่าความกลัวที่เกิดขึ้นในใจคน
แต่ปัจจุบันนี้เราสามารถคำนวณได้เป็นร้อยปีล่วงหน้า ว่าคราสครั้งต่อไปจะเกิดขึ้น ณ ตำแหน่งใดของโลก และจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ เวลาใด ผ่านตำแหน่งใดบ้าง เกิดนานเท่าไหร่ และเราก็ทราบถึงเหตุแท้จริงของ “ความมืด” ที่เกิดขึ้นด้วยว่า..สุริยคราสที่ทำให้กลางวันแปรผันเป็นราตรีอันมืดมิดนั้น เป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติ เกิดขึ้นเมื่อดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และโลก โคจรมาเรียงอยู่ในแนวเดียวกันโดยมีดวงจันทร์อยู่ตรงกลาง เกิดขึ้นเฉพาะในวันที่ดวงจันทร์มีดิถีตรงกับจันทร์ดับ หากเราเฝ้ามองบนพื้นโลก ก็จะเห็นดวงจันทร์เคลื่อนเข้ามาบดบังดวงอาทิตย์ โดยอาจบังมิดหมดทั้งดวง หรือบางส่วนก็ได้ ในแต่ละปีสามารถเกิดสุริยุปราคาบนโลกได้อย่างน้อย 2 ครั้ง สูงสุดไม่เกิน 5 ครั้ง
ทางไสยศาสตร์และโหราศาสตร์ เชื่อเรื่องพลังอำนาจการยึดโยง เหวี่ยง ผลัก จากแรงดึงดูดของดวงดาว ทุกสิ่งคือพลังงาน ยึดโยงกันทั่วทั้งกาลจักรวาลอันยิ่งใหญ่นี้ การสั่นสะเทือนของพลังงานเล็กๆ เพียวเศษเสี้ยวอณูธาตุล้วนมีช่องว่างแห่งพลังงานมหาศาลแห่งปรมณู การโคจรของดวงดาว จึงมีผลกับทุกๆ สรรพสิ่งในห้วงกาลจักร หากการกระพือปีกของผีเสื้อยังสั่นสะเทือนถึงดวงดาวได้ แล้วการโคจรมาบรรจบกุมกันสนิทองศาแห่งอาทิตย์และจันทร์ พลังงานที่ปรากฏย่อมมหาศาลเช่นกัน? ครูบาอาจารย์ทางไสยเวทย์วิชาล้วนกำหนดเอาฤกษ์แห่งคราสเป็นฤกษ์แข็ง ใช้ในการปลุกเสกเรียกธาตุลงฤทธิ์เครื่องรางวัตถุธาตุกายสิทธิ์ ด้วยพลังงานในช่วงนั้น อาทิตย์และจันทร์ประสานทวีกำลังกัน อันหมายถึงความสมดุลแห่งพลังจักรวาล ซึ่งเครื่องรางมงคลธาตุกายสิทธิ์ทั้งหลายล้วนเกิดจากอำนาจมนตราคาถา แรงจิตครูบาอาจารย์ และพลังอำนาจแห่งจักรวาลทั้งสิ้น
เมื่อเราเข้าใจกฎแห่งธรรมชาติ เข้าใจกลไกฟ้า เข้าใจพลังงาน เข้าใจว่าคราสคือปรากฎการณ์ธรรมชาติ คือการขยับ ปรับ ขยาย พลังงานจักรวาลที่รุนแรงเพื่อให้เกิดความสมดุลทุกรอบแห่งการโคจรมาทำมุมกุม เล็ง ฉาก ของดวงดาว เราย่อมเลือกรับได้เลือกใช้เป็น อยู่ใต้ฟ้า อย่ากลัวดวงดาวที่ให้แสงสว่างและพลังชีวิตแก่เราเสมอมา แต่จงเลือกใช้พลังงานให้เป็น เหมือนปรมณูพลังงมหาศาลหากนำมาใช้ด้านดี สิ่งดีย่อมมีอนันต์ หากนำมาใช้ด้านร้ายสิ่งร้ายย่อมอนันต์เช่นกัน
ช่วงแห่งคราส อำนาจสนามแม่เหล็กแห่งฟ้าจะรุนแรง หากสนามจิตเรามีแต่พลังงานของความกลัว กังวล คิดลบ คิดร้าย เราก็จะเหมือนแม่เหล็กแรงสูงขนาดใหญ่ที่ดึงดูดเรื่องลบๆ ร้ายๆ เข้ามาอย่างรุนแรง และ รวดเร็ว เพราะอะไรที่เรากลัว ที่เราคิดถึงสิ่งนั้น มันจะเกิดกับเรา ครูบาอาจารย์ทางจิตวิญญาณท่านแยบยลเข้าใจโลกของพลังงาน จึงบันทึกคำสอนมาแต่โบราณ ให้ใช้ช่วงเวลานี้ สงบจิต สงบใจ สวดมนต์ ภาวนา จดจ่ออยู่ในพิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิ์ อธิษฐานขอพร เพราะเมื่อเราจดจ่อคิดในสิ่งดีดี พร่ำบ่นภาวนาสาธยายมนตราอันเป็นถ้อยคำอันดีงาม เราจะยกสนามจิตของเราไปยึดโยงกับพลังงานอันศักดิ์สิทธิ์ อันปราศจากความกลัว วิตก กังวล กำลังสมาธิคือตัวสกัดและกำหนดคลื่นแทรกที่ดีที่สุด จิตเราก็เหมือนแม่เหล็กแรงสูงขนาดใหญ่ที่จะดึงดูดเอาทุกความปรารถนา ทุกความดีงามที่เราคิดนึกระลึกถึงเข้ามาได้อย่างรวดเร็ว
คำเตือนเรื่องมิควรออกนอกเคหะสถานนั้น ก็มิใช่ว่าจะเป็นความงมงาย แต่มีสาระอย่างยิ่ง เพราะเมื่ออำนาจแม่เหล็กแห่งฟ้าแปรปรวนรุนแรง แม้พืชและสัตว์ที่ดำเนินชีวิตตามสัญชาติญาณยังหลบหลีกกลับรัง เพราะพืชและสัตว์รับรู้เรื่องคลื่นแม่เหล็กได้ อากาศก็อาจปั่นป่วนแปรปรวนได้ อาจเกิดเหตุร้ายได้ คลื่นจิตมนุษย์ก็ปั่นป่วนแปรปรวน แม้เราจะใจเย็นจิตสงบ ก็อาจไปเจอคนใจร้อนทะเลาะกันได้ อาจเจอลูกหลงได้โดยไม่ตั้งใจได้ ฟ้าที่สว่างเจิดจ้าอยู่ดีดีกลับมืดสนิท คลื่นจิตจำนวนมากย่อมปรากฎความกลัว กังวล ปั่นป่วน คนก็โกลาหล สัตว์ก็โกลาหล พืชก็ปั่นป่วน การออกไปรับพลังเช่นนั้นก็คงไม่ดีแน่ โบราณท่านจึงบอกให้อยู่ใต้ร่มหลังคาเรือน ฝนตกฟ้าร้อง คนตีกัน เราก็ปลอดภัย ซ้ำยังโชคดีมีโชคลาภ กับการสวดมนต์ภาวนา จุดเทียนบูชา สาธยายมนตราอันประเสริฐเป็นการดึงกระแสพลังงานดีดีจากฟ้าเข้าตัวอีก
กาลฤกษ์อมาวสี พระอาจารย์จุดเทียนบูชา
วันอาทิตย์ที่ 21 มิถุนายน 2563
ขึ้น 1 ค่ำเดือนแปด ปีชวด
ณ. วิหารสะเดาะเคราะห์พระเจ้าพันองค์
เวลา 21.39 น.
(( จุดจันทร์ดับสนิท วันอาทิตย์ 21 มิ.ย. 2563 เวลา 13.41.45 น. ))
รายละเอียดการบูชาฤกษ์ >> ฤกษ์บูชาเทียนมหาโสฬสมงคล
ติดต่อบูชา LINE : @namotasa